สมองล้าปัญหาใกล้ตัว แจกสูตรสมูทตี้บำรุงสมอง
ใครเคยรู้สึกล้า ตื้อ มึน หลังอ่านหนังสือ หรือหลังทำงานประชุมนานๆบ้าง หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่อาการปกติของวันที่ไม่ค่อยสดใส แต่อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะสมองล้าโดยไม่รู้ตัว สุขภาพดีกับโลตัสพาทุกคนมารู้จักกับภาวะสมองล้า พร้อมแจกสูตรบำรุงสมองด้วยอาหารเพื่อสุขภาพจากเบอร์รีง่ายๆ ที่ใครก็ทำตามได้
ภาวะสมองล้าคืออะไร?
ภาวะสมองล้า เป็นภาวะที่เกิดเมื่อสมองต้องทำงานอย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ โดยมักเกิดขึ้นกับวัยเรียนและวัยทำงานที่ต้องใช้สมองโฟกัสกับงาน หน้าจอโทรศัพท์ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ยาวนานหลายชั่วโมง จนอาจทำให้เกิดอาการสมาธิหลุด ตอบสนองช้า รู้สึกล้า ตื้อ มึน หรือที่เรียกว่าสมองล้า จนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
เกิดอะไรขึ้นกับสมองเมื่อทำงานหนักมากเกินไป?
เมื่อต้องจดจ่ออยู่กับงานใช้สมองอย่างหนักและต่อเนื่องนานเกินไปโดยไม่ได้พัก จะทำให้สมองเกิดการทำงานผิดไปจากปกติ โดยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังนี้
- การไหลเวียนเลือดไปยังสมองลดลง ตามปกติเมื่อเราใช้ความคิดร่างกายจะส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองตื่นตัว แต่ถ้าสมองและระบบประสาทใช้งานหนักในระยะเวลาที่นานเกินไป ความสามารถในการลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารไปยังสมองจะลดลง
- กลูโคสในสมองลดลง สมองต้องใช้กลูโคสเป็นพลังงานหลัก เมื่อมีการใช้สมองอย่างต่อเนื่อง ระดับกลูโคสก็ลดลง จึงทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลลดลงด้วย
- การสะสมของอนุมูลอิสระ (Oxidative stress) เมื่อสมองทำงานหนักจะเกิดการเผาผลาญพลังงานในสมองอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมในเซลล์ประสาท ส่งผลให้เซลล์ประสาททำงานได้ช้าลงและเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าการอักเสบในสมอง (Neuroinflammation) การทำงานหนักเกินไปอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอ่อนๆ ในสมอง ส่งผลต่อสมาธิและสมองส่วนความจำระยะสั้น
เบอร์รี อาหารเพื่อสุขภาพสมองยืนยันด้วยงานวิจัย
จากงานวิจัยในปี 2019 พบว่าเมื่อทดลองให้ผู้ใหญ่ดื่มสมูทตี้ ที่ทำจากผลไม้ตระกูลเบอร์รีทั้ง บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี และแบล็คเบอร์รี พบว่าสมองมีความแม่นยำในการทำงานสูงขึ้น ตอบสนองได้เร็วขึ้น และสามารถช่วยให้สมองทำงานได้ดีต่อเนื่องนานถึง 6 ชั่วโมงหลังดื่ม
โดยผลไม้ตระกูลเบอร์รีมีสารอาหารสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองได้ คือสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) เป็นสารที่ช่วยลดอนูมูลอิสระที่สะสมในสมองและเซลล์ประสาท ลดการอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังสมองทำให้ได้รับออกซิเจนและกลูโคสซึ่งเป็นพลังงานหลักมากขึ้น ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้สมองตอบสนองได้ไวขึ้น และช่วยให้ระบบสมองและระบบประสาททำงานได้ตามปกติ
สุขภาพดีกับโลตัส แจกสูตรสมูทตี้แก้สมองล้า
สมูทตี้สูตรแก้สมองล้าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะสมองล้าหรือคนวัยเรียน วัยทำงานที่ต้องการเพิ่มสมาธิ ลดอาการสมองล้า ช่วยบำรุงสมอง ทำได้ง่ายๆ และสามารถหาซื้ออาหารเพื่อสุขภาพได้ที่โลตัส ในส่วนของผลไม้โลตัสมีให้เลือกทั้งผลไม้สด ซึ่งให้รสหวานฉ่ำตามธรรมชาติ และผลไม้แช่แข็งที่รสชาติเข้มข้นไม่ต้องใส่น้ำแข็งเพิ่ม สะดวก เก็บได้นาน แถมมีสารอาหารใกล้เคียงกับผลไม้แบบสดด้วย
ส่วนผสมและวิธีทำสมูทตี้บำรุงสมอง
- เตรียมเครื่องปั่นผลไม้ สามารถใช้ได้ทั้งแบบ เครื่องปั่นพกพาจาก MY HOME หรือ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ 1.5 ลิตรจาก TOSHIBA
- เลือกผลไม้ตระกูลเบอร์รีโดยสูตรนี้เลือกเป็น
Option 1 Lotus’s Smoothie Mix - Berry Squeeze/
Option 2 โลตัส ราสป์เบอร์รีแช่แข็ง, ซันนี่เดย์ สตรอว์เบอร์รีแช่แข็ง, โลตัส มิกซ์เบอร์รีแช่แข็ง, แซมบาซอน อาไซอิเบอร์รี ไม่มีน้ำตาล - เติมนมพืชรสจืด เพื่อรสชาติที่เข้มข้นขึ้น เช่น อัลโปร อัลมอนด์ UHT รสจืด, กู๊ดเมท นมโอ๊ต ซีโร่ชูการ์, 137 ดีกรี นมแมคคาเดเมีย, แลคตาซอย นมถั่วเหลือง รสจืด
- ใส่โลตัส เมล็ดเชีย หรือ โลตัสเมล็ดแฟลกซ์ เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และโอเมกา-3
- ตกแต่งและเพิ่มไฟเบอร์ด้วย เดลลี่มี กราโนล่ารสรวมมิตรธัญพืช เสิร์ฟแบบ Smoothie bowl อร่อยได้ง่ายๆ
@lotussthailand แจกสูตร! Berry Smoothie อัปเกรดสมองล้าเป็นสมองลื่น 🧠⚡เติมน้ำตาลแบบสดชื่นง่ายๆ 🍓🫐🥤#สุขภาพดีกับโลตัส #รีวิวโลตัส #โลตัสมีด้วยหรอ #โลตัส #Lotuss #รู้สึกดีดีทุกวันที่โลตัส #สุขภาพ #รักสุขภาพ #อาหารเพื่อสุขภาพ #TikTokสายสุขภาพ
♬ original sound - Lotus’s - Lotus’s
เอกสารอ้างอิง
- Whyte, A. R., Cheng, N., Butler, L. T., Lamport, D. J., & Williams, C. M. (2019). Flavonoid-Rich Mixed Berries Maintain and Improve Cognitive Function Over a 6 h Period in Young Healthy Adults. Nutrients, 11(11), 2685. https://doi.org/10.3390/nu11112685
- Bouzari, A., Holstege, D., & Barrett, D. M. (2015). Vitamin retention in eight fruits and vegetables: a comparison of refrigerated and frozen storage. Journal of agricultural and food chemistry, 63(3), 957–962. https://doi.org/10.1021/jf5058793